วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

น้ำตาแสงใต้ เหงาปนเศร้า ประวัติที่มาของเพลงน่าอึ้ง

 
จุดเริ่มของการฟังเพลงน้ำตาแสงใต้เริ่มมาจาก ได้ยินเสียงพี่โจ้
ตาม link นี้ 
http://www.youtube.com/watch?v=y6E1mTu7jT8&feature=youtube_gdata_player


เศร้า ลอย เคล้าอารมณ์ เพราะจริงๆ เลยค้นหาสักหน่อยตามนี้คะ



ที่มาของเพลง ” น้ำตาแสงไต้ ” เพลงแห่งความหลัง ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร


เรื่องราวที่จะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครูสง่า อารัมภีร

หรือ ครูแจ๋ว ที่ลูกศิษย์และเพื่อนพ้องในวงการเรียกกัน

นอกจากที่ครูแจ๋วมีความสามารถในการแต่งเพลง

ซึ่งเป็นงานที่ถือได้ว่าครูเป็นเอกทางด้านดนตรี

ท่านแต่งเพลงไว้ให้เราได้ฟังกันร่วมๆ 2,000 เพลง เพลงเอกอาทิ ;

เรือนแพ, ดาวประดับใจ,

เพื่อเธอเพื่อเธอ, น้ำตาแสงไต้, หนึ่งในร้อย ฯลฯ

เพลงแต่ละเพลงที่ครูแจ๋วแต่งล้วนแต่เพราะๆ

และโด่งดังเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะคนรุ่นเก่า

คนรุ่นใหม่ยังซาบซึ้งไปกับบทเพลงของท่านกันไปทั่ว

นอกจากนั้นแล้วครูมีความสามารถในงานเขียนเช่นกัน

โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง ” ผี ”

ท่านเขียนได้อย่างมีเอกลักษณ์อย่างเฉพาะตัว

ท่านเขียนเรื่องไว้ประมาณ 60 เรื่อง 

ใช้นามปากกาว่า  แจ๋ว  วรจักร,  จ้อน  บางกระสอ 

เริ่องผีเรื่องแรกๆ ที่เขียนลงพิมพ์ในเพลินจิตต์รายสัปดาห์ เมื่อปี พ. ศ. 2489   

จากนี้ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับงานเขียนและ

ที่มาของเพลง  น้ำตาแสงไต้ “ 

เพลงแห่งความหลัง ครูแจ๋ว สง่า  อารัมภีร  ศิลปินแห่งชาติ ปี 2531 

สาขาศิลปะการแสดง ( เพลงไทยสากล )

ผมเองเป็นผู้เขียนขึ้รเมื่อปี 2493 เพื่อลงพิมพ์ในสูจิบัตรละครเรื่อง “กุลปราโมทย์”

เป็นละครลำดับที่ 68 ของ คณะศิวารมณ์  มันก็หลายปีมาแล้ว

แต่ก็ทำให้รำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเก่าก่อนได้ดีอยู่ เปียโนตัวที่จะกล่าว

ถึงนั้น เวลานี้ก็ดูเหมือนยังอยู่ที่ห้องเล็กศาลาเฉลิมกรุง

เมื่อสองสามปีก่อนผมขึ้นไปบนห้องเล็กยังลูบคลำ

ยู่เลย มันเก่ามากแล้ว และเสียงบางเสียงก็เพี้ยนเพราะไม่มีใครดูแล

แต่เมื่อผมไปลูบคลำ วิญญาณของผม และมันยังผสานกันเหมือนเมื่อเก่าก่อน

แต่เดี๋ยวนี้มันจะยังอยู่ หรือถูกขายไปก็ไม่ทราบ ว่างๆว่าจะไปเยี่ยมมันอีกครั้ง

                                                                                     

ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า วันนั้นในราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ 

ศิวารมณ์กำลังซ้อมละครเรื่อง “  พันท้ายนรสิงห์ ” อยู่ที่ห้องเล็ก ศาลาเฉลิมกรุง

ดูเหมือนจะเข้าโปรแกรมวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ซ้อมกันอย่างหนัก เพราะเป็นสมัยที่เริ่มงานใหม่ๆ

ตอนนั้นข้าพเจ้ามีหน้าที่ดีดเยโนให้นาฏศิลป์เขาซ้อมและต่อเพลงให้นักร้องเท่านั้น 

ผู้ที่แต่งเพลงให้ศิวารมณ์สมันนั้นคือ  ประกิจ  วาทยกร และ โพธิ์  ชูประดิษฐ์ 

ข้าพเจ้าเป็นนักดนตรีใหม่ๆ ยังไม่ถึงปี  สุรสิทธิ์ , จอก , สมพงษ์ และทุกๆ คน

 มาซ้อมละครกันตั้งแต่เย็นส่วน เนรมิต , มารุต สมัย

โน้นเข้าคู่กันคร่ำเครียดกับบทและวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร 

นาฏศิลป์ซ้อมกัน  เต้นกัน นักร้องก็ร้องเพลงกัน

เหลือเวลา ๕ วันละครจะเริ่มแสดงแล้ว 

เพลงเอกของเรื่องคือ  “  น้ำตาแสงไต้ “ ทำนองยังไม่เสร็จ

คุณประกิจและคุณโพธิ์แต่งส่งมาคนละเพลงสองเพลงยังไม่เป็นที่ไม่พอใจแก่

เจ้าของเรื่องและผู้กำกับ  ทั้งเจ้าของเรื่องและผูกำกับต้องการให้เพลง

มีสำเนียงเป็นไทยแท้ มีรสและวิญญาณไปในทาง ” หวานเย็นและเศร้า “

เย็นนั้นเมื่อเลิกซ้อมแล้ว ข้าพเจ้าพลอยอึดอัดไปกับเขาด้วย

ข้าพเจ้าลงมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าเฉลิมกรุง

ไม่รู้จะไปไหนดี ได้ยินเสียงเรียก  ” หง่า  หง่า ”

คุณทองอิน บุณยเสนา ถามว่า ” ราบรื่นเรียบร้อยหรือไฉน ”

ข้าพเจ้าอ่ยถึงเพลง ” น้ำตาแสงไต้  ” ที่ยังแต่งกันไม่เสร็จ พี่อินฟังแล้วพูดว่า ”

เพลงไทยนั้นมีเยอะ แต่ไอ้รสหวานเย็นและเศร้าที่หง่าว่ามันมีน้อย

อั๊วชอบมาก และรู้สึกว่าหวานเย็นเศร้ามีแต่ เขมรไทรโยคและลาวครวญ

เท่านั้น คุยกันสักพักข้าพเจ้ารู้สึกง่วงนอนปุ๊บหลับปั๊บจะหลับไปนานเท่าไรไม่รู้

           ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจมาก  ที่ใครมาเล่นเปียโนที่ห้องเล็กก่อนข้าพเจ้า 

ปกติ ๘.๐๐ น. กว่าๆ  ข้าพเจ้าเห็นคนอยู่ ๔คน ชาย ๓ หญิง ๑

แต่งกายแปลกมาก ชายแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ เขาถอดหมวกวางไว้

บนเปียโน คนเล่นผิวค่อนข้างขาว หน้าคมคาย  อีกคนหนึ่งผิวคล้ำ

นั่งอยู่ทางขวาของเปียโน คนที่ ๓ อายุมากกว่าสองคนแรก

ผมหงอกประปราย ท่าทางเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หน้าตาอิ่มเอิบ 

ส่วนผู้หญิงนั้นสวยเหลือเกิน นุ่งผ้าจีบพก

แต่งกายโบราณนุ่งผ้าจีบพก ห่มผ้าแถบสีแดงสด ผิวนวลปล่อยผมปรกบ่า

กำลังยืนเอามือเท้าเปียโนอยู่ด้านซ้าย

              ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป  เขาไม่สนใจข้าพเจ้าเลย

จนข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้จะเข้าพูดก็ไม่รู้จักเขา

 แต่งตัวแปลก เลยนั่งมองดูเขาและฟังเพลงที่ดีดนั้น

คนเล่นเปียโนเก่งมาก เขาเล่นจากความรู้สึกจริงๆ ตาเขา

ลอยคล้ายฝันมองไปตรงหน้า บางทีทองหน้าผู้หญิง

เธอยิ้มรับน่ารักเหลือเกิน ข้าพเจ้าฟังเพลินมองเพลิน สัก

ครู่ก็สะดุ้งเพราะเสียงห้าวต่ำอย่างมีอำนาจของ

ผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า  ” ไหน…เทพ … เธอลองเล่น เขมรไทรโยคซิ ”

คนที่เล่นเปียโนผงกศีรษะรับ พร้อมกับเปลี่ยนเพลงมาเป็นเขมรไทรโยค

เขาเล่นด้วยความรู้สึก เสียงประสานประหลาด

แต่ทว่านุ่มนวลฟังแล้วทำให้คิดและมองเห็นภาพไปด้วยความรู้สึกหวานชื่น

เพลินฟังจนเพลงจบเมื่อไรไม่รู้

เพลงที่เล่นนั้นเพราะเหลือเกินพลันเสียงผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า 

 ” ธิดาจ๋า เธอจะไม่ลองฝีมือดูรึ ” สาวสวยคนนั้นเดินไปนั่งที่เปียโนบรรเลง

เพลงเป็นเพลงหวานเศร้าสำเนียงลาว ” ลาวครวญ ” อันหวานเศร้า

ฝีมือของเธออยู่ในขั้นเลิศ ข้าพเจ้านั่งน้ำตาคลอคิดไปถึงความหลัง

คิดเพลินจนเพลงจบไม่รู้ตัว

เสียงห้าวต่ำๆ ดังขึ้นอีกว่า  ” อมร…ถ้าเราเอา วิญญาณ ของเพลงสองเพลงนี้

มารวมกันเข้า คงจะเพราะอย่างหาที่ติไม่ได้เชียวนะ

” ข้าพเจ้าเห็นคนผิวคล้ำที่นั่งข้างขวาของเปียโนก้มศีรษะรับพร้อมกับพูดว่า  ”

กระผมเห็นด้วยคงจะไพเราะอย่างยิ่ง ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเปียโน

พลางหันหน้าไปพูดกัยคนผิวคล้ำว่า ” ขอเชิญคุณครูค่ะ ขอเชิญคุณครูสวม

วิญญาณของเพลงทั้งสอง ให้ศิษย์ได้ฟังเพื่อเป็นขวัญโสต

และขวัญชีวิตของศิษย์ทั้งสอง “ ท่านที่รัก

เสียงที่ลอยมาจากเปียโนนั้นสำเนียงไทยแท้มี ” รสหวานเย็นเศร้า “

ครูอมรได้รวมวิญญาณของ เขมรไทรโยค และ ลาวครวญ ได้สนิทแนบ

สำเนียงและ วิญญาณถอดออกมาจากเพลงสองเพลงนี้อย่าง

ครบถ้วนโดยที่เพลงเดิมไม่ได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย

ดุจสองวิญญาณเก่าเคล้ากัน จนเกิดวิญญาณใหม่ที่

สวยงามขึ้นอีกวิญญาณหนึ่ง…ข้าพเจ้าฟังเพลินจนสะดุ้ง

เมื่อมีหนักๆ มาเขย่าจนรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ บ่ายๆ สามโมงวันนั้น เมื่อนาฏศิลป์

และละครกลับกัน บนห้องเล็กเหลือข้าพเจ้า , เนรมิต, มารุต, สุรสิทธิ์ 

เนรมิตและมารุตบ่นถึงเพลง ” น้ำตาแสงไต้ ”

ว่าทำนองที่คุณโพธิ์และคุณประกิจส่งมายังใช้ไม่ได้ เหลือเวลาอีก ๓ วัน

ละครจะแสดงแล้วเดี๋ยวไม่ทัน ข้าพเจ้านั่งฟังสักครู่หันมาเล่นเปียโน

ท่านที่รัก ความรู้สึกบอกไม่ถูกนิ้วมือข้าพเจ้าบรรเลงไปตามอารมณ์

ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ส่าเป็นเพลงอะไร เคลิ้มๆ บังไงพิกล

เนรมิตถามว่า ” หง่า นั่นเพลงอะไร ”

ข้าพเจ้าสะดุ้งพร้อมกับนึกขึ้นได้ และจำทำนองได้ทันทีว่าเป็นเพลงที่ครูอมรดีด

ข้าพเจ้าหันไปถามเนรมิตว่า ” เพราะหรือฮะ ”

เนรมิตพยักหน้าบอกให้เล่นใหม่ ข้าพเจ้าบนนเลงอีกหนึ่งเที่ยว

ทั้งเนรมิตและมารุตพูดขึ้นว่า ” นี่แหละ น้ำตาแสงไต้ “ 

ข้าพเจ้าดีใจรีบจดโน๊ต และประพันธ์คำร้องกันเดี๋ยวน้น

            มารุตขึ้น “  นวลเจ้าพี่เอย ”

            เนรมิตต่อ “  คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ “

            แล้วช่วยกันต่อ ” ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย ”

พอจบประโยคแรก สุรสิทธิ์ร้องเกลาทันที

ร่วมกันสร้างจบคำร้องในราว ๑๐ นาทีเท่านั้นเอง

สุดท้ายเพลงก็ทันละครแสดง  เมื่อทำนองเพลง

” น้ำตาแสงไต้ ” พลิ้วขึ้นคนร้องไห้กันทั้งโรง แม้ พันท้ายนรสิงห์

จะสร้างเป็นภาพยนตร์ยังใช้เพลง ” น้ำตาแสงไต้ ” เป็นเพลงเอกอยู่

 

เพลงผีบอก ที่มาของเพลง ” น้ำตาแสงไต้” 

สาขาศิลปะการแสดงปี ๒๕๓๑  สง่า อารัม คัดลอกมาจากหนังสือ เพลงผีบอก รวมเรื่องผีและที่

ของเพลงน้ำตาแสงไต้ โดย ศิลปินแห่งชาติ

และขอขอบคุณ พี่เต้ย คุณบูรพา  อารัมภีร บุตรชายของครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร

ที่อนุญาติให้นำที่มาของเพลง ” น้ำตาแสงไต้ ”

มาเผยแพร่ในบล็อก PRISANASWEETSONG

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

                                        น้ำตาแสงไต้                      

คำร้อง :   มารุต - เนรมิต     ทำนอง :   สง่า   อารัมภีร

           นวลเจ้าพี่เอย … คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ

ถ้อยคำเหมือนจะชวน    ใจพี่หวนสรวญตร่ำอาลัย

           น้ำตา…อาบแก้ม    เพียงแซบเพชรไสว

แวววับจับหัวใจ              เคล้าแสงไต้

          นวลแสงเพชร …    เกล็ดแก้วอันล้ำค่า

คราเมื่อแสงไฟส่องมา     แวววาวชื่นชม

          น้ำตา…แสงไต้     ดื่มใจพี่ร้าวระบม

ไม่อยากพรากขวัญภิรมย์    จำใจข่มใจไปจากนวล   .

เพลง น้ำตาแสงไต้  เพลงจากละครเรื่อง  พันท้ายนรสิงห์  

บันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๙๒

โดย  บุญช่วย  หิรัญสุนทร    .

ต่อมา ครูแจ๋ว สง่า  อารัมภีร ได้ให้คุณชรินทร์  นันทนาคร 

ร้องบันทึกเสียงอีกครั้ง


หลังจากนั้นไม่นานครูแจ๋ว สง่า  อารัมภีร 

ท่านได้แต่งเพลงมาร้องแก้กันกับเพลง "น้ำตาแสงใต้ "

คือเพลง " น้ำตานวล " และได้ให้คุณดาวใจ  ไพจิตร  บันทึกเสียงค่ะ



ที่มา. http://www.oknation.net/blog/prisanasweetsong/2009/12/26/entry-1

ของคุณแหม่มแก้มแดง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น