เรื่องราวที่จะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครูสง่า อารัมภีร
หรือ ครูแจ๋ว ที่ลูกศิษย์และเพื่อนพ้องในวงการเรียกกัน
นอกจากที่ครูแจ๋วมีความสามารถในการแต่งเพลง
ซึ่งเป็นงานที่ถือได้ว่าครูเป็นเอกทางด้านดนตรี
ท่านแต่งเพลงไว้ให้เราได้ฟังกันร่วมๆ 2,000 เพลง เพลงเอกอาทิ ;
เรือนแพ, ดาวประดับใจ,
เพื่อเธอเพื่อเธอ, น้ำตาแสงไต้, หนึ่งในร้อย ฯลฯ
เพลงแต่ละเพลงที่ครูแจ๋วแต่งล้วนแต่เพราะๆ
และโด่งดังเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะคนรุ่นเก่า
คนรุ่นใหม่ยังซาบซึ้งไปกับบทเพลงของท่านกันไปทั่ว
นอกจากนั้นแล้วครูมีความสามารถในงานเขียนเช่นกัน
โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง ” ผี ”
ท่านเขียนได้อย่างมีเอกลักษณ์อย่างเฉพาะตัว
ท่านเขียนเรื่องไว้ประมาณ 60 เรื่อง
ใช้นามปากกาว่า แจ๋ว วรจักร, จ้อน บางกระสอ
เริ่องผีเรื่องแรกๆ ที่เขียนลงพิมพ์ในเพลินจิตต์รายสัปดาห์ เมื่อปี พ. ศ. 2489
จากนี้ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับงานเขียนและ
ที่มาของเพลง “ น้ำตาแสงไต้ “
เพลงแห่งความหลัง ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร ศิลปินแห่งชาติ ปี 2531
สาขาศิลปะการแสดง ( เพลงไทยสากล )
ผมเองเป็นผู้เขียนขึ้รเมื่อปี 2493 เพื่อลงพิมพ์ในสูจิบัตรละครเรื่อง “กุลปราโมทย์”
เป็นละครลำดับที่ 68 ของ คณะศิวารมณ์ มันก็หลายปีมาแล้ว
แต่ก็ทำให้รำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเก่าก่อนได้ดีอยู่ เปียโนตัวที่จะกล่าว
ถึงนั้น เวลานี้ก็ดูเหมือนยังอยู่ที่ห้องเล็กศาลาเฉลิมกรุง
เมื่อสองสามปีก่อนผมขึ้นไปบนห้องเล็กยังลูบคลำ
อยู่เลย มันเก่ามากแล้ว และเสียงบางเสียงก็เพี้ยนเพราะไม่มีใครดูแล
แต่เมื่อผมไปลูบคลำ วิญญาณของผม และมันยังผสานกันเหมือนเมื่อเก่าก่อน
แต่เดี๋ยวนี้มันจะยังอยู่ หรือถูกขายไปก็ไม่ทราบ ว่างๆว่าจะไปเยี่ยมมันอีกครั้ง
ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า วันนั้นในราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘
ศิวารมณ์กำลังซ้อมละครเรื่อง “ พันท้ายนรสิงห์ ” อยู่ที่ห้องเล็ก ศาลาเฉลิมกรุง
ดูเหมือนจะเข้าโปรแกรมวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ซ้อมกันอย่างหนัก เพราะเป็นสมัยที่เริ่มงานใหม่ๆ
ตอนนั้นข้าพเจ้ามีหน้าที่ดีดเยโนให้นาฏศิลป์เขาซ้อมและต่อเพลงให้นักร้องเท่านั้น
ผู้ที่แต่งเพลงให้ศิวารมณ์สมันนั้นคือ ประกิจ วาทยกร และ โพธิ์ ชูประดิษฐ์
ข้าพเจ้าเป็นนักดนตรีใหม่ๆ ยังไม่ถึงปี สุรสิทธิ์ , จอก , สมพงษ์ และทุกๆ คน
มาซ้อมละครกันตั้งแต่เย็นส่วน เนรมิต , มารุต สมัย
โน้นเข้าคู่กันคร่ำเครียดกับบทและวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร
นาฏศิลป์ซ้อมกัน เต้นกัน นักร้องก็ร้องเพลงกัน
เหลือเวลา ๕ วันละครจะเริ่มแสดงแล้ว
เพลงเอกของเรื่องคือ “ น้ำตาแสงไต้ “ ทำนองยังไม่เสร็จ
คุณประกิจและคุณโพธิ์แต่งส่งมาคนละเพลงสองเพลงยังไม่เป็นที่ไม่พอใจแก่
เจ้าของเรื่องและผู้กำกับ ทั้งเจ้าของเรื่องและผูกำกับต้องการให้เพลง
มีสำเนียงเป็นไทยแท้ มีรสและวิญญาณไปในทาง ” หวานเย็นและเศร้า “
เย็นนั้นเมื่อเลิกซ้อมแล้ว ข้าพเจ้าพลอยอึดอัดไปกับเขาด้วย
ข้าพเจ้าลงมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าเฉลิมกรุง
ไม่รู้จะไปไหนดี ได้ยินเสียงเรียก ” หง่า หง่า ”
คุณทองอิน บุณยเสนา ถามว่า ” ราบรื่นเรียบร้อยหรือไฉน ”
ข้าพเจ้าอ่ยถึงเพลง ” น้ำตาแสงไต้ ” ที่ยังแต่งกันไม่เสร็จ พี่อินฟังแล้วพูดว่า ”
เพลงไทยนั้นมีเยอะ แต่ไอ้รสหวานเย็นและเศร้าที่หง่าว่ามันมีน้อย
อั๊วชอบมาก และรู้สึกว่าหวานเย็นเศร้ามีแต่ เขมรไทรโยคและลาวครวญ
เท่านั้น คุยกันสักพักข้าพเจ้ารู้สึกง่วงนอนปุ๊บหลับปั๊บจะหลับไปนานเท่าไรไม่รู้
ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจมาก ที่ใครมาเล่นเปียโนที่ห้องเล็กก่อนข้าพเจ้า
ปกติ ๘.๐๐ น. กว่าๆ ข้าพเจ้าเห็นคนอยู่ ๔คน ชาย ๓ หญิง ๑
แต่งกายแปลกมาก ชายแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ เขาถอดหมวกวางไว้
บนเปียโน คนเล่นผิวค่อนข้างขาว หน้าคมคาย อีกคนหนึ่งผิวคล้ำ
นั่งอยู่ทางขวาของเปียโน คนที่ ๓ อายุมากกว่าสองคนแรก
ผมหงอกประปราย ท่าทางเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หน้าตาอิ่มเอิบ
ส่วนผู้หญิงนั้นสวยเหลือเกิน นุ่งผ้าจีบพก
แต่งกายโบราณนุ่งผ้าจีบพก ห่มผ้าแถบสีแดงสด ผิวนวลปล่อยผมปรกบ่า
กำลังยืนเอามือเท้าเปียโนอยู่ด้านซ้าย
ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป เขาไม่สนใจข้าพเจ้าเลย
จนข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้จะเข้าพูดก็ไม่รู้จักเขา
แต่งตัวแปลก เลยนั่งมองดูเขาและฟังเพลงที่ดีดนั้น
คนเล่นเปียโนเก่งมาก เขาเล่นจากความรู้สึกจริงๆ ตาเขา
ลอยคล้ายฝันมองไปตรงหน้า บางทีทองหน้าผู้หญิง
เธอยิ้มรับน่ารักเหลือเกิน ข้าพเจ้าฟังเพลินมองเพลิน สัก
ครู่ก็สะดุ้งเพราะเสียงห้าวต่ำอย่างมีอำนาจของ
ผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า ” ไหน…เทพ … เธอลองเล่น เขมรไทรโยคซิ ”
คนที่เล่นเปียโนผงกศีรษะรับ พร้อมกับเปลี่ยนเพลงมาเป็นเขมรไทรโยค
เขาเล่นด้วยความรู้สึก เสียงประสานประหลาด
แต่ทว่านุ่มนวลฟังแล้วทำให้คิดและมองเห็นภาพไปด้วยความรู้สึกหวานชื่น
เพลินฟังจนเพลงจบเมื่อไรไม่รู้
เพลงที่เล่นนั้นเพราะเหลือเกินพลันเสียงผู้สูงอายุพูดขึ้นว่า
” ธิดาจ๋า เธอจะไม่ลองฝีมือดูรึ ” สาวสวยคนนั้นเดินไปนั่งที่เปียโนบรรเลง
เพลงเป็นเพลงหวานเศร้าสำเนียงลาว ” ลาวครวญ ” อันหวานเศร้า
ฝีมือของเธออยู่ในขั้นเลิศ ข้าพเจ้านั่งน้ำตาคลอคิดไปถึงความหลัง
คิดเพลินจนเพลงจบไม่รู้ตัว
เสียงห้าวต่ำๆ ดังขึ้นอีกว่า ” อมร…ถ้าเราเอา วิญญาณ ของเพลงสองเพลงนี้
มารวมกันเข้า คงจะเพราะอย่างหาที่ติไม่ได้เชียวนะ
” ข้าพเจ้าเห็นคนผิวคล้ำที่นั่งข้างขวาของเปียโนก้มศีรษะรับพร้อมกับพูดว่า ”
กระผมเห็นด้วยคงจะไพเราะอย่างยิ่ง ” หญิงสาวลุกขึ้นจากเปียโน
พลางหันหน้าไปพูดกัยคนผิวคล้ำว่า ” ขอเชิญคุณครูค่ะ ขอเชิญคุณครูสวม
วิญญาณของเพลงทั้งสอง ให้ศิษย์ได้ฟังเพื่อเป็นขวัญโสต
และขวัญชีวิตของศิษย์ทั้งสอง “ ท่านที่รัก
เสียงที่ลอยมาจากเปียโนนั้นสำเนียงไทยแท้มี ” รสหวานเย็นเศร้า “
ครูอมรได้รวมวิญญาณของ เขมรไทรโยค และ ลาวครวญ ได้สนิทแนบ
สำเนียงและ วิญญาณถอดออกมาจากเพลงสองเพลงนี้อย่าง
ครบถ้วนโดยที่เพลงเดิมไม่ได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย
ดุจสองวิญญาณเก่าเคล้ากัน จนเกิดวิญญาณใหม่ที่
สวยงามขึ้นอีกวิญญาณหนึ่ง…ข้าพเจ้าฟังเพลินจนสะดุ้ง
เมื่อมีหนักๆ มาเขย่าจนรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ บ่ายๆ สามโมงวันนั้น เมื่อนาฏศิลป์
และละครกลับกัน บนห้องเล็กเหลือข้าพเจ้า , เนรมิต, มารุต, สุรสิทธิ์
เนรมิตและมารุตบ่นถึงเพลง ” น้ำตาแสงไต้ ”
ว่าทำนองที่คุณโพธิ์และคุณประกิจส่งมายังใช้ไม่ได้ เหลือเวลาอีก ๓ วัน
ละครจะแสดงแล้วเดี๋ยวไม่ทัน ข้าพเจ้านั่งฟังสักครู่หันมาเล่นเปียโน
ท่านที่รัก ความรู้สึกบอกไม่ถูกนิ้วมือข้าพเจ้าบรรเลงไปตามอารมณ์
ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ส่าเป็นเพลงอะไร เคลิ้มๆ บังไงพิกล
เนรมิตถามว่า ” หง่า นั่นเพลงอะไร ”
ข้าพเจ้าสะดุ้งพร้อมกับนึกขึ้นได้ และจำทำนองได้ทันทีว่าเป็นเพลงที่ครูอมรดีด
ข้าพเจ้าหันไปถามเนรมิตว่า ” เพราะหรือฮะ ”
เนรมิตพยักหน้าบอกให้เล่นใหม่ ข้าพเจ้าบนนเลงอีกหนึ่งเที่ยว
ทั้งเนรมิตและมารุตพูดขึ้นว่า ” นี่แหละ น้ำตาแสงไต้ “
ข้าพเจ้าดีใจรีบจดโน๊ต และประพันธ์คำร้องกันเดี๋ยวน้น
มารุตขึ้น “ นวลเจ้าพี่เอย ”
เนรมิตต่อ “ คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ “
แล้วช่วยกันต่อ ” ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย ”
พอจบประโยคแรก สุรสิทธิ์ร้องเกลาทันที
ร่วมกันสร้างจบคำร้องในราว ๑๐ นาทีเท่านั้นเอง
สุดท้ายเพลงก็ทันละครแสดง เมื่อทำนองเพลง
” น้ำตาแสงไต้ ” พลิ้วขึ้นคนร้องไห้กันทั้งโรง แม้ พันท้ายนรสิงห์
จะสร้างเป็นภาพยนตร์ยังใช้เพลง ” น้ำตาแสงไต้ ” เป็นเพลงเอกอยู่
เพลงผีบอก ที่มาของเพลง ” น้ำตาแสงไต้”